1.3 ประเภทหัว , เหง้า
กระชาย
กระชาย ภาษาอังกฤษเรียกว่า Fingerroot หรือ Chinese's Ginger เป็นพืชล้มลุกที่มีต้นกำเนิดแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้ มีชื่อเรียกตามท้องถิ่นที่แตกต่างกันไปได้แก่ ภาคเหนือจะเรียกว่า กะแอน หรือ ละแอน จังหวัดมหาสารคามเรียกว่า ขิงทราย แถบแม่ฮ่องสอนมักจะเรียกว่า จี๊ปู, ซีฟู, เป๊าะซอเร้าะ หรือเป๊าะสี่ ส่วนในกรุงเทพฯ หากได้ยินชื่อว่านพระอาทิตย์ละก็ นั่นก็แปลว่ากระชายเช่นกันค่ะ
กระชายนิยมใช้เป็นสมุนไพรในครัวเรือน โดยส่วนที่นำมาใช้มากที่สุดคือเหง้าและรากที่อยู่ใต้ดิน ในประเทศไทยมีกระชายอยู่ 3 ชนิดได้แก่ กระชายเหลือง กระชายแดง และกระชายดำ ซึ่งแต่ละชนิดจะมีลักษณะทางพฤกษศาสตร์ และสรรพคุณทางยาแตกต่างกันเล็กน้อย โดยเหง้าและรากที่นำมาใช้นั้นมีรสชาติเผ็ดร้อนขม ซึ่งแพทย์แผนโบราณของไทยนิยมมาใช้ทั้งในการรักษาโรคและการบำรุงร่างกาย นอกจากนี้ยังถือเป็นยาอายุวัฒนะอีกด้วย
สรรพคุณของกระชาย เปี่ยมคุณค่า รักษาสารพัดโรค
กระชาย สรรพคุณของสมุนไพรชนิดนี้กระจายอยู่มากมายตามส่วนต่าง ๆ ของต้น ไม่ว่าจะเป็นใบ เหง้า ราก และเหง้าใต้ดิน ยิ่งโดยเฉพาะกระชายแก่จะยิ่งมีประโยชน์สูงกกว่ากระชายอ่อน และควรเลือกกระชายแห้ง เพราะกระชายแห้งจะมีสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่า โดยแต่ละส่วนของกระชายมีสรรพคุณแตกต่างกันไปดังนี้
- เหง้าใต้ดิน
เหง้าใต้ดินมีรสชาติขมและเผ็ด สามารถช่วยแก้อาการปวดท้อง มวนในท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ เนื่องจากมีสารซิเนโอเล (Cineole) ที่มีฤทธิ์ลดการบีบตัวของลำไส้ จึงทำให้อาการปวดท้องทุเลาลงได้ ทั้งนี้ยังเป็นยารักษาริดสีดวงทวาร นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณช่วยชูกำลัง และบำรุงกำหนัด บำบัดโรคนกเขาไม่ขัน
- เหง้าและราก
เหง้าและรากสามารถใช้เพื่อแก้โรคบิด ถ่ายเป็นมูกเลือด ช่วยขับปัสสาวะ และแก้อาการปัสสาวะพิการ นอกจากนี้ยังสามารถนำมาใช้เป็นยารักษากลากเกลื้อนได้อีกด้วย
-ใบ
ใบเป็นอีกส่วนหนึ่งของกระชายที่สามารถนำมาใช้ในการบำรุงร่างกาย โดยใบกระชายสามารถรับประทานเพื่อบำรุงธาตุ รักษาโรคในปาก และในคอ แก้อาการโลหิตเป็นพิเศษ และช่วยถอนพิษต่าง ๆ ได้
ข่า
ภาษาอังกฤษ : Galanga, Greater galangal, False galangal ข่ามีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Alpinia galanga
(L.) Willd. จัด
วงศ์ : ZINGIBERACEAE เช่นเดียวกับกระชาย
กระชายดำ กระชายแดง กระวาน กระวานเทศ ขิง ขมิ้น เร่ว เปราะป่า เปราะหอม ว่านนางคำ
และว่านรากราคะประโยชน์ของข่า
ประโยชน์ของข่าช่วยให้เจริญอาหาร (ข่าหลวง)
- ช่วยบำรุงร่างกาย (เหง้า)
- ช่วยบำรุงธาตุไฟ (หน่อ)
- ข่ามีสาร 1-acetoxychavicol acetate (ACA) ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งการเกิดโรคมะเร็งจากการเหนี่ยวนำของสารก่อ
- มะเร็ง จึงช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งไปด้วยในตัว (เหง้า)
- มีฤทธิ์ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง (สารสกัดจากเหง้า)
- สารสกัดจากเหง้ามีฤทธิ์ช่วยช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด (สารสกัดจากเหง้า)
ว่านน้ำ
ชื่อสามัญ : Calamus, Calamus Flargoot, Flag Root, Mytle Grass, Myrtle sedge,
Sweet Flag, Sweetflag, Sweet Sedge,
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Acorus
calamus L. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Acorus angustifolius Schott, Acorus aromaticus Gilib., Acorus
calamus var. verus L., Acorus terrestris Spreng.) ปัจจุบันจัดอยู่ในวงศ์ว่านน้ำ
(ACORACEAE)
ชื่อท้องถิ่นอื่นๆ : ว่า
ว่านน้ำเล็ก ฮางคาวผา (เชียงใหม่), ตะไคร้น้ำ
(เพชรบุรี), กะส้มชื่น คาเจี้ยงจี้ ผมผา ส้มชื่น ฮางคาวบ้าน ฮางคาวน้ำ (ภาคเหนือ), ทิสีปุตอ
เหล่อโบ่สะ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), แป๊ะอะ (ม้ง),ช่านโฟ้ว
(เมี่ยน), สำบู่ (ปะหล่อง), จะเคออ้ม ตะไคร้น้ำ (ขมุ). แปะเชียง (จีนแต้จิ๋ว), สุ่ยชังฝู
ไป๋ชัง (จีนกลาง) เป็นต้น
สรรพคุณของว่านน้ำ
- เหง้าว่านน้ำมีสรรพคุณเป็นยาบำรุงธาตุ ยาหอม แก้ธาตุพิการ บำรุงธาตุน้ำ โดยใช้เหง้าแห้งประมาณ 1-3 กรัม นำมาชงกับน้ำร้อนดื่มก่อนอาหารเย็น ติดต่อกันจนกว่าธาตุจะปกติ (ราก,เหง้า)
- ใช้เป็นยาขมช่วยทำให้เจริญอาหาร โดยใช้เหง้าแห้งประมาณ 1-3 กรัม (ราก,เหง้า)
- ช่วยบำรุงหัวใจ (ราก)
- ช่วยบำรุงกำลัง บำรุงประสาท หลอดลม (เหง้า)
- เหง้าใช้เป็นยาระงับประสาท สงบประสาท แก้อาการสะลึมสะลือ มึนงง รักษาอาการลืมง่าย ตกใจง่าย หรือมีอาการตื่นเต้นตกใจกลัวจนสั่น จิตใจปั่นป่วน ให้ใช้เหง้าว่านน้ำแห้ง 10 กรัม, เอี่ยงจี่ 10 กรัม, หกเหล้ง 10 กรัม, เหล่งกุก 10 กรัม, และกระดองส่วนท้องของเต่า 15 กรัม ใช้แบ่งกินครั้งละประมาณ 3-5 กรัม วันละ 3 เวลา (เหง้า)
- รากใช้เป็นยาแก้ Hysteria (โรคประสาทแบบฮีสทีเรีย) และ Neuralgia (อาการปวดตามเส้นประสาท) (ราก)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น